หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงเวลาปี 2020-2022 ที่แต่ประประเทศต้องปิดประเทศและต่างคนต่างเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ อาจจะพูดอีกย่างก็ได้ว่า COVID-19 เป็นเครื่องเร่งปฏิกริยาในการที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ได้เร็วขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลายบริษัทต้องปรับตัวไปใช้เทคโนโยลีเพื่อช่วยในการทำงานซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ธุรกิจหลายธุรกิจต้องหยุดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวได้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือเรียกว่า Disruption
นอกจากนั้นยังมีอีก 1 ปรากฏการณ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนถ่ายรุ่นของเจ้าของธุรกิจ ในปี 2023 เป็นช่วงที่คนรุ่น Baby Boomer มีอายุน้อยที่สุดคือ 59 ปี (คนที่เกิดอยู่ระหว่าง 1946-1964) หรือตั้งแต่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 1964 นั้นหมายความว่า คนรุ่นนี้จะเป็นช่วงเข้าสู่วัยเกษียณอย่างเต็มรูปแบบ
จากแรงกดดันของ COVID-19 และ การเกษียณของ Baby Boomer จึงทำให้ธุรกิจจำนวนมากที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร จาก Baby Boomer สู่ Gen X และ Gen Y ซึ่งระบบการคิดของแต่ละรุ่น แต่ละยุคก็มีพื้นฐาน ความเชื่อที่แตกต่างกันไป
Gen X (คนที่เกิดปี 1965-1979) เป็นวัยที่คาบเกี่ยวระหว่างอะนาล็อค และดิจิทัล เป็นคนที่เกิดมากับ อะนาล็อค แต่ กลุ่มแรกที่ได้เรียนรู้กับดิจิตัล เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 เป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลของ Baby Boomer แต่ มีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี คนกลุ่มนี้ ทำงานหนัก สร้างความมั่งคั่ง และพร้อมเรียนรู้ มีความคิดว่า การทำงานหนักจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ
Gen Y (คนที่เกิดปี 1980-1990) เป็นวัยที่เกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายของความเป็นดิจิตัล ชอบการเรียนรู้ ไม่อยากผูกมัด เชื่อมั่นในเทคโนโลยี และพยายามทำทุกอย่างให้ง่าย คนกลุ่มนี้ เกิดมาพร้อมกับการเรียนรู้ของโลก การตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี การเปิดโลกเสรีในการใช้ชีวิต เชื่อว่า การทำงานหนักเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ต้องทำงานหนักตลอดไป ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มีแรงบันดาลใจ
ในความแตกต่างที่เกิดขึ้น เข้ามาสู่การถ่ายโอนอไนาจของธุรกิจ พบว่า มีหลายธุรกิจอยู่ในช่วงการการแปลงร่าง (Transformation) ซึ่ง ผลที่ตามมาหลายๆ เรื่องเช่น การเปลี่ยนแปลงของระเบียบการทำงาน การเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวไปเป็นธุรกิจแบบ Corporate หรือบางธุรกิจ ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่ง Gen X และ Gen Y หลายๆ คน ได้รับรู้มาจากองค์ความรู้ที่เรียนกันในหมาวิทยาลัย หรือ แหล่งความรู้ต่างๆ
แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นคือ การเกิด Culture Shock และ การต้องสร้างระเบียบ ข้อบังคับ และวิธีการใหม่ทั้งหมด ถือว่าเป็นควาท้าทายเป็นอย่างมากที่ต้องให้คนที่ทำงานเดิมเปลี่ยนวิธีการคิด ความเชื่อ และวิธีการทำงานตามผู้บริหารรุ่นใหม่ การออกแบบกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแผนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และแน่นอนว่า ต้องมีแรงเสียดทานจากคนเดิมที่อยู่เป็นอย่างมาก
ผู้บริหารที่เก่ง จะต้องเก่งในเรื่องการวางระบบ การสื่อสาร การวัดผล การพัฒนาคน และการแสดงออกในความเป็นผู้นำ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้การสูญเสียที่น้อยที่สุด หรือหาผู้ที่เป็นมืออาชีพ มาช่วย ทั้งช่วยในการให้ความเห็น หรือ หาคนที่มาช่วยในการส่งผ่านให้ ซึ่ง การที่หาบุคคลภายนอก จากมีข้อดีตรงที่ มีคนที่มีประสบการณ์มาช่วย และคนนั้น ยังเป็นคนที่รับแรงเสียดทานแทนเอาคนภายในทั้งหมดมาดำเนินการเอง แน่นอนว่า ยังไงก็มีข้อเสีย ทั้งเรื่องความเข้าใจภายในของธุรกิจ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และการสร้างความคุ้นเคยกับบุคลากรทั้งหมด
ทั้งหมดนี้ เจ้าของ ต้องเลือกว่า จะส่งผ่านไปสู่รุ่นใหม่อย่างไร
ดร.นารา กิตติเมธีกุล